วิตามินดีช่วยอะไร กินวิตามินดีตอนไหนดีที่สุด

วิตามินดีช่วยอะไร-เมดิก้าคลินิกความสูง

“วิตามินดี” หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “วิตามินแดด” เป็นหนึ่งในวิตามินที่ร่างกายขาดไม่ได้และมีความสำคัญมากกว่าแค่เรื่องกระดูกและฟัน แต่มีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันและสุขภาพโดยรวมอย่างน่าทึ่ง ทว่าคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนที่ทำงานในออฟฟิศหรือใช้ชีวิตในเมือง มักมีความเสี่ยงที่จะขาดวิตามินดีโดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับวิตามินดีให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พร้อมไขข้อข้องใจว่าวิตามินดีช่วยอะไรบ้าง และเราควรกินวิตามินดีตอนไหนเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด

วิตามินดีคืออะไร

วิตามินดี (Vitamin D) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ซึ่งมีลักษณะพิเศษตรงที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์เองได้เมื่อผิวหนังสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลตบี (UVB) จากแสงแดด มีบทบาทสำคัญในกระบวนการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากอาหารเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงการรักษาระดับแคลเซียมในเลือดให้สมดุล ส่งผลต่อสุขภาพกระดูกและฟันที่แข็งแรง นอกจากนี้วิตามินดียังมีบทบาทในระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาท และกล้ามเนื้อ การขาดวิตามินดีอาจทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน กระดูกเปราะ และมีแนวโน้มเกิดปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย

วิตามินดีมีอะไรบ้าง แบ่งเป็นกี่ชนิด

วิตามินดีมีหลายรูปแบบ แต่ที่สำคัญต่อมนุษย์มี 2 ชนิดหลัก ได้แก่

  1. วิตามินดี 2 (Ergocalciferol) 

ได้จากพืช เห็ด และอาหารเสริมบางชนิดที่ได้จากพืชและเชื้อราต่าง ๆ มีการใช้ในอาหารเสริมและยาหรืออาหารเสริมบางชนิด วิตามินดี2 จะต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกายเพื่อให้ใช้งานได้

  1. วิตามินดี 3 (Cholecalciferol) 

ได้จากสัตว์ ไข่แดง ปลา แสงแดด และเป็นรูปแบบวิตามินดีที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เองเมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด (UVB) นอกจากนี้ยังพบในอาหารบางชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล และน้ำมันตับปลา 

ทั้งนี้วิตามินดี 3 มีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือดสูงกว่าวิตามินดี 2 จึงนิยมใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารเสริม

วิตามินดีช่วยอะไร มีประโยชน์อย่างไรเมื่อทำงานร่วมกับแคลเซียม

หากสงสัยว่าวิตามินดีช่วยอะไร คำตอบคือประโยชน์หลักของวิตามินดีนั้นเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นแร่ธาตุหลักของกระดูก วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในร่างกาย ทำให้แคลเซียมที่รับประทานเข้าไปผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเมื่อทำงานร่วมกับแคลเซียมจะส่งผลดังนี้

  • เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง : วิตามินดีช่วย เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ เข้าสู่กระแสเลือด หากไม่มีวิตามินดีที่เพียงพอ ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้เพียง 10-15% เท่านั้น การทำงานร่วมกันนี้จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกบางและกระดูกพรุนได้
  • ควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน : ช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดขาวตอบสนองต่อเชื้อโรคได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ
  • ส่งเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อ : ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ลดความเสี่ยงการหกล้มในผู้สูงอายุ
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด : มีส่วนช่วยในการทำงานของอินซูลิน
  • สุขภาพจิต : มีความเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้า

ตารางปริมาณวิตามินดีที่ควรได้รับต่อวัน

ปริมาณวิตามินดีที่แนะนำต่อวัน (Recommended Dietary Allowance – RDA) ตามคำแนะนำของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIH) มีหน่วยเป็น International Units (IU)

อายุ

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

เด็ก 1–18 ปี

600 IU (15 µg)

ผู้ใหญ่ 19–70 ปี

600 IU (15 µg)

ผู้สูงอายุ 71 ปีขึ้นไป

800 IU (20 µg)

หญิงตั้งครรภ์–ให้นมบุตร

600 IU (15 µg)

แหล่งที่มาของวิตามินดีได้จากที่ไหนบ้าง ?

ถึงแม้ร่างกายจะสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เอง แต่ในสภาพชีวิตปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลาในอาคารมากกว่าพื้นที่โล่ง การพึ่งพาแหล่งวิตามินดีจากภายนอกจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง การรู้จักแหล่งที่มาที่หลากหลายจะช่วยให้เราสามารถวางแผนการได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ โดยเราสามารถแบ่งได้ 2 แหล่ง ดังนี้

แสงแดด (Sunlight) : เป็นแหล่งที่ดีที่สุด ร่างกายจะสร้างวิตามินดี 3 เมื่อผิวหนังสัมผัสรังสี UVB

คำแนะนำ: ควรให้ผิวหนังสัมผัสแดดอ่อน ๆ ช่วงเช้าก่อน 10.00 น. หรือช่วงเย็นหลัง 15.00 น. ประมาณ 15-20 นาที 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยไม่ต้องทาครีมกันแดด (หลีกเลี่ยงแดดจัด)

อาหาร (Food Sources) : อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดีตามธรรมชาติ เช่น ปลาแซลมอน ซาร์ดีน ทูน่า ไข่แดง ตับ อาหารที่เสริมวิตามินดีอย่างนมและอาหารเสริมที่เติมวิตามินดี เช่น เห็ดหอมที่ตากแดด เป็นต้น

อาการที่บ่งบอกว่าขาดวิตามินดี 

ภาวะขาดวิตามินดีมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่หากขาดต่อเนื่องอาจมีสัญญาณเตือนดังนี้

  • ป่วยบ่อย หรือติดเชื้อได้ง่าย
  • อ่อนเพลียและเหนื่อยล้าผิดปกติ
  • ปวดหลัง ปวดกระดูก หรือปวดกล้ามเนื้อ
  • มีภาวะซึมเศร้า หรืออารมณ์แปรปรวน
  • แผลหายช้า
  • ผมร่วงมากผิดปกติ

โทษของวิตามินดีหากมากเกินไป

การได้รับวิตามินดีมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะเป็นพิษ (Vitamin D Toxicity) ซึ่งแม้จะหาได้ยากจากอาหารธรรมชาติ แต่เกิดได้จากการกินอาหารเสริมในปริมาณสูงและเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (Hypercalcemia) และมีอาการได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมาก ปวดกระดูก และกล้ามเนื้ออ่อนแรง อ่อนเพลีย สับสน โดยในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้เกิดหินปูนสะสมในไตหรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ (โรคนิ่ว) เสี่ยงต่อภาวะแคลเซียมในเลือดสูงที่เป็นอันตราย

วิตามินดีสารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต

หลายคนคงรู้แล้วว่าวิตามินดีช่วยอะไรบ้าง แน่นอนว่าวิตามินดีเป็นสารอาหารสำคัญต่อการเจริญเติบโต การเสริมสร้างกระดูกส่งผลด้านความสูงและระบบภูมิคุ้มกัน แม้ว่าแหล่งที่ดีที่สุดคือแสงแดด แต่การใช้ชีวิตในปัจจุบันทำให้คนจำนวนมากเสี่ยงต่อภาวะขาดวิตามินดี การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินดีและการพิจารณาอาหารเสริมจึงเป็นทางเลือกที่ดี สำหรับผู้ที่เลือกทานวิตามินดีเสริม เคล็ดลับสำคัญที่สุดคือควรทานพร้อมมื้ออาหารที่มีไขมัน เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องและปลอดภัยที่สุด

คำแนะนำในการกินวิตามินดีเสริมกับคำถามที่พบบ่อย

วิตามินดีกินวันละเท่าไหร่ และวิตามินดีกินทุกวันได้ไหม

สามารถกินวิตามินดีเสริมได้ทุกวันตามปริมาณที่แนะนำ เช่น 600-800 IU สำหรับผู้ใหญ่ ในบางกรณีที่ขาดมาก แพทย์อาจสั่งยาในขนาดสูงชั่วคราว 

กินวิตามินดีตอนไหนดีที่สุด

กินพร้อมมื้ออาหาร หรือหลังอาหารทันที วิตามินดีเป็นวิตามินละลายในไขมัน ร่างกายจะดูดซึมได้ดีที่สุดเมื่อมีไขมันอยู่ด้วย การรับประทานพร้อมกับมื้ออาหาร (โดยเฉพาะมื้อที่มีไขมันดี เช่น อะโวคาโด, ถั่ว, หรือน้ำมันมะกอก) จะช่วยเพิ่มการดูดซึมได้อย่างมีนัยสำคัญ

วิตามินดี 2 กินตอนไหน

สามารถกินได้เช่นเดียวกับวิตามินดี 3 โดยควรกินพร้อมอาหารที่มีไขมันเพื่อเพิ่มการดูดซึม โดยทั่วไปควรกินตามคำแนะนำของแพทย์หรือฉลากผลิตภัณฑ์

อ้างอิง 

  • Holick MF. Vitamin D deficiency. N Engl J Med. 2007;357(3):266–281. doi:10.1056/NEJMra070553
  • Ross AC, Taylor CL, Yaktine AL, Del Valle HB (Eds.). Dietary Reference Intakes for Calcium and Vitamin D. Washington, DC: National Academies Press; 2011.
  • Institute of Medicine (IOM). Dietary Reference Intakes for Calcium and Vitamin D. Washington, DC: The National Academies Press; 2011.
  • Cashman KD, Kiely M. Tackling inadequate vitamin D intakes within the population: fortification of dairy products with vitamin D may not be enough. Endocrine. 2016;51(1):38–46. doi:10.1007/s12020-015-0683-6

 


อ่านรีวิวคอร์สเพิ่มความสูงของ “เมดิก้าเซ็นเตอร์” ได้ที่นี่

อยากสูง…ปรึกษาเราได้

เมดิก้า เซ็นเตอร์ (Medica Center) เพิ่มโอกาสสูง ปรับบุคลิกภาพให้ดูดีและสูงขึ้นเห็นผลทันทีในครั้งแรก!! ที่ใช้เทคนิคการเพิ่มความสูงด้วยวิธีการทางการแพทย์ ไม่ต้องเข้าผ่าตัด แต่เป็นการเพิ่มความสูงด้วยการทำกายภาพ เมดิก้าเซ็นเตอร์ใช้หลักการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นหลักใหญ่ในการกระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูกอ่อน รวมถึงการปรับโครงสร้างของร่างกายเพื่อเพิ่มบุคลิกภาพให้สง่าและดูดี เพิ่มโอกาสสูงได้สูงสุดทันที 1-5 cm. ผลจริง ปลอดภัย ไม่เจ็บตัว ทุกขั้นตอนได้รับการดูแลและให้คำปรึกษาจากแพทย์และทีมงานผู้ชำนาญการประสบการณ์ด้านการปรับบุคลิกภาพเพิ่มโอกาสสูงมายาวนานมากกว่า 15 ปี สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัย แม้ว่าจะอยู่ในช่วงอายุที่เลยวัยพัฒนาการทางร่างกายแล้ว แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง ความปรารถนาที่จะมีส่วนสูงในฝันนั้นอาจจะอยู่ใกล้กว่าที่คุณคาดคิด

ที่ตั้ง : 2358 ชั้น 4 ถ.สุขุมวิท แขวง บางจาก เขต พระโขนง กรุงเทพ

 


เนื้อหาอื่นๆที่น่าสนใจ